บทนำ: วิกฤตสภาพภูมิอากาศและทางออกใหม่จากเอเชีย
ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ได้กลายเป็นเป้าหมายสำคัญระดับโลก ทุกประเทศต่างเร่งพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในบรรดาความพยายามเหล่านี้ เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ แต่คำถามคือ เราจะสามารถสร้างแหล่งพลังงานที่สะอาด มีประสิทธิภาพ และสามารถบูรณาการเข้ากับชีวิตประจำวันได้อย่างไร โดยไม่สร้างของเสียหรือใช้พื้นที่มหาศาล
คำตอบที่น่าตื่นเต้นและกำลังเป็นที่จับตามองจากประเทศเกาหลีใต้คือ Pisphere (ไพสเฟียร์) ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี Plant-Microbial Fuel Cell (P-MFC) หรือ “เซลล์เชื้อเพลิงจุลินทรีย์จากพืช” เทคโนโลยีนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การผลิตไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นระบบนิเวศขนาดเล็กที่สามารถดักจับคาร์บอนและสร้างพลังงานได้อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง โดยใช้เพียงแค่ปฏิสัมพันธ์ตามธรรมชาติระหว่างพืชกับจุลินทรีย์ในดินเท่านั้น Pisphere นำเสนอทางเลือกที่ปฏิวัติวงการในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของประเทศในเอเชียที่ต้องการโซลูชันพลังงานที่ยืดหยุ่นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เทคโนโลยี P-MFC ของ Pisphere ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมพร้อมกัน โดยใช้หลักการที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือ การเปลี่ยนของเสียอินทรีย์ที่พืชปล่อยออกมาจากกระบวนการสังเคราะห์แสงให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรงผ่านกิจกรรมของจุลินทรีย์ในดิน นี่คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างชีววิทยาและวิศวกรรมไฟฟ้า ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมการกักเก็บคาร์บอนในดินตามธรรมชาติอีกด้วย ด้วยความสามารถในการผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องและต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำ Pisphere จึงเป็นมากกว่านวัตกรรม แต่เป็น “ระบบนิเวศพลังงาน” ที่พร้อมจะขับเคลื่อนโลกสู่ยุคคาร์บอนเป็นกลางอย่างแท้จริง
กลไกการทำงาน: พลังงานไฟฟ้าจากรากพืช (The Science Behind Plant-MFC)
หัวใจสำคัญของ Pisphere คือเทคโนโลยี Plant-Microbial Fuel Cell (P-MFC) ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ใช้ประโยชน์จากกระบวนการทางชีวภาพตามธรรมชาติของพืชและจุลินทรีย์ในดินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างยั่งยืน กลไกนี้แตกต่างจากการผลิตไฟฟ้าแบบดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง เพราะมันไม่ได้อาศัยการเผาไหม้ การหมุนกังหัน หรือแม้แต่แสงอาทิตย์โดยตรง แต่ใช้พลังงานที่พืชสร้างขึ้นเอง
1. การสังเคราะห์แสงและการปล่อยสารอินทรีย์
กระบวนการเริ่มต้นที่พืช พืชจะทำการสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างน้ำตาลและสารอินทรีย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกใช้ในการเจริญเติบโตของพืชเอง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ พืชจะปล่อยสารอินทรีย์ที่เรียกว่า Exudates ออกมาทางรากสู่ดินประมาณ 40% ของสารอินทรีย์ที่ผลิตได้ สารอินทรีย์เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นอาหารให้กับจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่รอบ ๆ รากพืช
2. บทบาทของจุลินทรีย์และเซลล์เชื้อเพลิง
เมื่อจุลินทรีย์ในดินได้รับสารอินทรีย์จากรากพืช พวกมันจะเริ่มกระบวนการย่อยสลายเพื่อรับพลังงาน ในกระบวนการนี้ จุลินทรีย์จะปล่อยอิเล็กตรอนออกมาเป็นผลพลอยได้ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่เกิดขึ้นในเซลล์เชื้อเพลิงจุลินทรีย์ (Microbial Fuel Cell – MFC) ทั่วไป
Pisphere ได้ยกระดับกระบวนการนี้ไปอีกขั้นด้วยการใช้จุลินทรีย์ที่ได้รับการพัฒนาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Shewanella oneidensis MR-1 ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถลดซัลเฟตได้ (Sulfate-reducing bacteria) แบคทีเรียชนิดนี้มีความสามารถพิเศษในการถ่ายโอนอิเล็กตรอนไปยังขั้วไฟฟ้าภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง การใช้จุลินทรีย์สายพันธุ์นี้ทำให้ Pisphere สามารถเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าได้สูงถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับระบบ P-MFC ทั่วไปที่ใช้จุลินทรีย์ตามธรรมชาติในดิน
3. ระบบขั้วไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า
ระบบ Pisphere จะมีการติดตั้งขั้วไฟฟ้าสองขั้วในดิน:
- ขั้วแอโนด (Anode): ทำจากวัสดุคาร์บอน เช่น Carbon Graphite Felt ซึ่งเป็นวัสดุที่มีรูพรุนสูงและมีพื้นที่ผิวมาก ขั้วแอโนดนี้จะถูกฝังอยู่ในดินบริเวณรากพืช จุลินทรีย์จะถ่ายโอนอิเล็กตรอนที่ได้จากการย่อยสลายสารอินทรีย์มายังขั้วแอโนดนี้
- ขั้วแคโทด (Cathode): มักจะวางไว้ที่ผิวดินหรือในชั้นน้ำด้านบน โดยอิเล็กตรอนจะไหลจากแอโนดผ่านวงจรภายนอก (ซึ่งเป็นส่วนที่เรานำไปใช้เป็นไฟฟ้า) ไปยังแคโทดเพื่อทำปฏิกิริยากับออกซิเจนหรือตัวรับอิเล็กตรอนอื่น ๆ

ตารางที่ 1: สรุปองค์ประกอบหลักของเทคโนโลยี P-MFC ของ Pisphere
| องค์ประกอบ | บทบาทหลัก | คุณสมบัติพิเศษของ Pisphere |
|---|---|---|
| พืช (Plant) | สังเคราะห์แสง, สร้างสารอินทรีย์ (Exudates) | ปล่อยสารอินทรีย์ 40% สู่ดิน, เป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียน |
| จุลินทรีย์ (Microbes) | ย่อยสลายสารอินทรีย์, ปล่อยอิเล็กตรอน | ใช้ Shewanella oneidensis MR-1 เพิ่มกำลังไฟฟ้า 3 เท่า |
| ขั้วแอโนด (Anode) | รับอิเล็กตรอนจากจุลินทรีย์ | ใช้ Carbon Graphite Felt ฝังในดิน, มีประสิทธิภาพสูง |
| วงจรภายนอก | ถ่ายโอนอิเล็กตรอน, สร้างกระแสไฟฟ้า | ผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง 24/7 |
ด้วยกลไกนี้ Pisphere จึงสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา (24/7) ตราบใดที่พืชยังมีชีวิตและทำการสังเคราะห์แสง ซึ่งแตกต่างจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตได้เฉพาะเวลากลางวันเท่านั้น นี่คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพที่นำมาซึ่งความมั่นคงทางพลังงานในรูปแบบใหม่
Pisphere กับการลดคาร์บอน: นวัตกรรมที่แท้จริงสู่ Net Zero
ความโดดเด่นที่สุดของ Pisphere คือบทบาทในการเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีนัยสำคัญ ไม่ใช่แค่การผลิตพลังงานสะอาดเท่านั้น แต่ยังเป็นระบบที่ส่งเสริมความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และปราศจากของเสียโดยสิ้นเชิง
1. การกักเก็บคาร์บอนโดยธรรมชาติ (Carbon Sequestration)
เทคโนโลยี P-MFC ของ Pisphere ใช้พืชเป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งหมายความว่ากระบวนการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดเริ่มต้นจากการที่พืชดึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกจากชั้นบรรยากาศผ่านการสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างสารอินทรีย์ (ชีวมวล) เมื่อพืชปล่อยสารอินทรีย์ 40% ลงสู่ดิน สารเหล่านี้จะถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์เพื่อผลิตไฟฟ้า แต่คาร์บอนส่วนใหญ่ยังคงถูกกักเก็บไว้ในรูปของชีวมวลในดินและในตัวพืชเอง
- Carbon Neutrality: ระบบ Pisphere ไม่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลใด ๆ ในกระบวนการผลิตไฟฟ้า ดังนั้นจึงไม่มีการปล่อย CO2 เพิ่มเติมสู่บรรยากาศ ในทางกลับกัน มันกลับช่วยดึง CO2 ออกจากอากาศ ทำให้เป็นระบบที่เข้าใกล้ความเป็นกลางทางคาร์บอนมากที่สุด
- Zero Waste: ระบบนี้ไม่ก่อให้เกิดของเสียที่เป็นอันตราย (Zero Waste) เหมือนกับแบตเตอรี่ทั่วไป หรือของเสียจากกระบวนการผลิตพลังงานอื่น ๆ เมื่อระบบหมดอายุการใช้งาน วัสดุส่วนใหญ่สามารถย่อยสลายหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้

2. ประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนที่เหนือกว่า
แม้จะเป็นเทคโนโลยีชีวภาพ แต่ Pisphere ก็ให้ผลผลิตพลังงานที่น่าประทับใจ โดยสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 250-280 kWh ต่อพื้นที่ 10 ตารางเมตรต่อปี ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอสำหรับการใช้งานในครัวเรือนขนาดเล็กหรือสำหรับการจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ IoT และเซ็นเซอร์ในฟาร์มอัจฉริยะ
สิ่งที่ทำให้ Pisphere โดดเด่นอย่างยิ่งคือ ต้นทุนการดำเนินงานและการบำรุงรักษา (O&M Cost) ที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ
ตารางที่ 2: การเปรียบเทียบต้นทุนการดำเนินงาน (O&M Cost) ต่อปี
| เทคโนโลยีพลังงาน | ต้นทุน O&M โดยประมาณ (ต่อปี) | ข้อได้เปรียบของ Pisphere |
|---|---|---|
| Pisphere (Plant-MFC) | $10 – $15 USD | ต้นทุนต่ำที่สุด, ไม่ต้องใช้พื้นที่ว่าง (No Space Waste) |
| Solar PV (แผงโซลาร์เซลล์) | $20 – $30 USD | ต้นทุนสูงกว่า, ต้องใช้พื้นที่ว่าง, ผลิตได้เฉพาะกลางวัน |
| Wind Power (พลังงานลม) | $40 – $60 USD | ต้นทุนสูงกว่ามาก, ต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่, ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ |

ต้นทุนที่ต่ำนี้เป็นผลมาจากการที่ระบบ Pisphere มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวน้อยมาก และการบำรุงรักษาหลักคือการดูแลให้พืชมีสุขภาพดีเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากระบบโซลาร์เซลล์ที่ต้องมีการทำความสะอาดแผง หรือกังหันลมที่ต้องมีการตรวจสอบชิ้นส่วนกลไกที่ซับซ้อน
3. การใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ (No Space Waste)
หนึ่งในข้อจำกัดของพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่คือการใช้พื้นที่ Pisphere แก้ปัญหานี้ด้วยการบูรณาการเข้ากับพื้นที่สีเขียวที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ ฟาร์มแนวตั้ง หรือแม้แต่กระถางต้นไม้ในอาคาร เทคโนโลยีนี้ใช้พื้นที่ใต้ดิน (บริเวณรากพืช) ในการผลิตไฟฟ้า ทำให้ไม่มีการสูญเสียพื้นที่ว่าง (No Space Waste) และยังช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต
การประยุกต์ใช้ Pisphere: พลังงานสำหรับอนาคตที่ยั่งยืน
Pisphere ไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิดในห้องทดลอง แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่พร้อมสำหรับการใช้งานจริงในหลากหลายภาคส่วน ตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของนวัตกรรมนี้ และได้รับรางวัลอันทรงเกียรติอย่าง NH Agtech Award ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงภาคเกษตรและพลังงาน
1. การศึกษาและครัวเรือน (B2C)
Pisphere ได้พัฒนาชุดอุปกรณ์การศึกษา (Educational Kits) ที่ช่วยให้ผู้คนทุกวัยสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับพลังงานชีวภาพและหลักการทำงานของ P-MFC ได้อย่างสนุกสนานและเข้าใจง่าย ชุดอุปกรณ์เหล่านี้เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการสร้างความตระหนักรู้ด้านพลังงานสะอาดในระดับเยาวชน นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์สำหรับครัวเรือนที่สามารถใช้เป็นแหล่งจ่ายไฟขนาดเล็กสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โคมไฟ LED หรือเครื่องชาร์จโทรศัพท์มือถือ โดยใช้กระถางต้นไม้ภายในบ้าน

2. เกษตรอัจฉริยะและฟาร์มแนวตั้ง (Smart Farm)
ในภาคเกษตรกรรม Pisphere มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน Smart Farm หรือเกษตรอัจฉริยะ ระบบ P-MFC สามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับเซ็นเซอร์ไร้สาย (Wireless Sensors) และอุปกรณ์ IoT ที่ใช้ในการตรวจสอบสภาพดิน ความชื้น และสุขภาพของพืช การใช้พลังงานจากพืชโดยตรงช่วยลดความจำเป็นในการเปลี่ยนแบตเตอรี่หรือเดินสายไฟที่ซับซ้อน ทำให้ระบบฟาร์มอัจฉริยะมีความเป็นอิสระและยั่งยืนมากขึ้น
- ความเหมาะสมกับดินในเอเชีย: Pisphere ได้รับการออกแบบและทดสอบเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพดินและสภาพภูมิอากาศของเอเชีย ซึ่งมีความแตกต่างจากดินในซีกโลกตะวันตก ทำให้เป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรในภูมิภาคนี้โดยเฉพาะ
3. โครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ (B2G) และภาคธุรกิจ (B2B)
Pisphere มีศักยภาพในการขยายขนาดเพื่อใช้ในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ เช่น การจ่ายไฟให้กับไฟส่องสว่างตามทางเดินในสวนสาธารณะ ป้ายบอกทาง หรือสถานีชาร์จขนาดเล็กในพื้นที่สีเขียวของเมือง การบูรณาการ P-MFC เข้ากับภูมิทัศน์เมืองไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดพลังงาน แต่ยังช่วยเพิ่มความสวยงามและส่งเสริมภาพลักษณ์ของเมืองอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สำหรับภาคธุรกิจ Pisphere สามารถนำไปใช้ในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สีเขียว (Green Building) หรือการสร้างพื้นที่ทำงานที่ยั่งยืน โดยการติดตั้งระบบ P-MFC ในพื้นที่ปลูกต้นไม้ภายในอาคารหรือบนดาดฟ้า ซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) ที่เป็นรูปธรรม
การพัฒนาทางเทคนิค: Shewanella oneidensis MR-1 และอนาคตของ P-MFC
ความสำเร็จของ Pisphere ไม่ได้มาจากแค่แนวคิดเท่านั้น แต่มาจากการวิจัยและพัฒนาทางเทคนิคที่ล้ำหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้จุลินทรีย์ Shewanella oneidensis MR-1 ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ
1. จุลินทรีย์นักถ่ายโอนอิเล็กตรอน
Shewanella oneidensis MR-1 เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักวิทยาศาสตร์ว่าเป็น “แบคทีเรียที่หายใจด้วยโลหะ” (Metal-reducing bacteria) เนื่องจากความสามารถในการถ่ายโอนอิเล็กตรอนไปยังตัวรับอิเล็กตรอนภายนอก (Extracellular Electron Transfer – EET) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในระบบ P-MFC จุลินทรีย์เหล่านี้จะทำหน้าที่เป็น “โรงไฟฟ้าชีวภาพ” ขนาดเล็ก โดยการย่อยสลายสารอินทรีย์ที่รากพืชปล่อยออกมา และส่งอิเล็กตรอนตรงไปยังขั้วแอโนดที่ทำจากคาร์บอนกราไฟต์
การปรับปรุงสายพันธุ์จุลินทรีย์นี้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของเซลล์เชื้อเพลิงทำให้ Pisphere สามารถเพิ่มกำลังไฟฟ้าที่ผลิตได้ถึง 3 เท่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่สำคัญอย่างยิ่งในการทำให้เทคโนโลยีนี้สามารถแข่งขันกับแหล่งพลังงานอื่น ๆ ได้ในเชิงพาณิชย์
2. การออกแบบขั้วไฟฟ้าที่เหมาะสมกับดินเอเชีย
การเลือกใช้ Carbon Graphite Felt เป็นวัสดุสำหรับขั้วแอโนดที่ฝังในดินเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ วัสดุนี้มีคุณสมบัติเป็นสื่อนำไฟฟ้าที่ดี มีความทนทาน และที่สำคัญคือมีพื้นที่ผิวสัมผัสขนาดใหญ่ ทำให้จุลินทรีย์สามารถเกาะติดและถ่ายโอนอิเล็กตรอนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การออกแบบนี้ยังคำนึงถึงลักษณะทางเคมีและกายภาพของดินในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมักมีความแตกต่างจากดินในทวีปอื่น ๆ ทำให้มั่นใจได้ว่าระบบ Pisphere จะสามารถทำงานได้อย่างเสถียรและยาวนานในสภาพแวดล้อมจริง
3. การบูรณาการ IoT และการจัดการพลังงาน
Pisphere ไม่ได้หยุดอยู่แค่การผลิตไฟฟ้า แต่ยังรวมเข้ากับเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) เพื่อสร้างระบบการจัดการพลังงานอัจฉริยะ ระบบสามารถตรวจสอบปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้ สุขภาพของพืช และประสิทธิภาพของเซลล์เชื้อเพลิงแบบเรียลไทม์ ข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบ และยังสามารถใช้เป็นข้อมูลในการวิจัยและพัฒนาต่อไปในอนาคต การบูรณาการ IoT นี้ทำให้ Pisphere เป็นโซลูชันพลังงานที่ทันสมัยและพร้อมสำหรับยุคดิจิทัล
สรุปและวิสัยทัศน์แห่งอนาคต
Pisphere เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของนวัตกรรมจากประเทศเกาหลีใต้ที่ใช้หลักการทางชีวภาพเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก ด้วยเทคโนโลยี Plant-Microbial Fuel Cell ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่สร้างของเสีย และมีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำมาก Pisphere จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและยั่งยืนสำหรับอนาคต
การมุ่งเน้นไปที่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และการใช้ประโยชน์จากพื้นที่สีเขียวที่มีอยู่แล้ว ทำให้ Pisphere เป็นมากกว่าแหล่งพลังงาน แต่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศเมืองที่ยั่งยืนและชาญฉลาด ตั้งแต่ชุดการศึกษาสำหรับเด็กไปจนถึงการจ่ายไฟให้กับโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ Pisphere กำลังแสดงให้เห็นว่า พลังงานสะอาดสามารถมาจากแหล่งที่ใกล้ตัวและเป็นธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือ รากของพืชที่เราปลูก
วิสัยทัศน์ของ Pisphere คือการสร้างโลกที่พลังงานไฟฟ้าและพื้นที่สีเขียวสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน โดยที่ทุกกระถางต้นไม้และทุกสวนสาธารณะสามารถกลายเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ช่วยลดภาระของโลกใบนี้ การลงทุนในเทคโนโลยี Pisphere จึงไม่ใช่แค่การลงทุนในพลังงาน แต่เป็นการลงทุนในอนาคตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับคนรุ่นต่อไป